การดูจิต กับการสะกดจิต (แบบจิตแพทย์) ต่างกันหรือไม่?
คุณเพทาย(นามสมมติ) -
"ดูจิต" ในแนวทางที่สอนปฏิบัติธรรมกันอยู่ทุกวันนี้
นอกจากการที่บอกว่าให้ "เฝ้ารู้" และ " เฝ้าดู " สิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิต
ก็ยังมีการกำกับ หรือสั่งให้คิด ให้ดู เป็น"ไตรลักษณ์"ด้วย
ก็แล้วทั้งหมดยังอยู่ ในกระบวนการคิด
ก็นับว่าเสมือนกับการสะกดจิตสะกดจิตตัวเองเสียแล้ว
จนหลายคนพากันไปติด สภาวะที่นิ่งและว่าง
ผมจึงสงสัยว่า แล้วนี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า จริงๆหรือครับ?
ดอกหญ้าในป่าหนาว-
หญ้าขอ อธิบายหลักการสะกดจิตก่อนเป็นอันดับแรกนะคะ
ว่าด้วยการสะกดนั้น เป็นการให้เราเพ่งมองวัตถุชิ้นนึง
หากวัตถุนั้นมีแหล่งพลังงานที่มากและพาให้ใจสงบ เหมือนหินแร่บางอย่าง
ที่ทำให้เกิดพลังมากอย่างนั้นได้ ก็จะทำให้สงบเร็ว
จนกระทั่งเกิดความตราตรึงกับวัตถุนั้น ต่อมาเมื่อจิตเริ่มที่จะสงบ
ตรงนี้จิตจะเริ่มซึ่ม เคลิ้มและง่วง เรียกได้ว่าตกสู่ภวังค์จิตแล้ว
เนื่องจาก ในภวังค์จิตนั้น สถาวะจิตนั้นลอย
เหมือนตอนที่เรานอนหลับ เราจึงไม่สามารถรับรู้ถึงความมีสัมปชัญญะ
คือร่างกายของตัวเราเอง
เมื่อจิตไม่มีกายเป็นฐาน ไม่รู้สึกในกายหรือที่เรียกว่าไม่มีสัมปัชัญญะ จิตก็จะทำงาน ตกร่องเดิมที่เคยเป็น
ตามความเคยขินเดิมๆที่เป็นทุกวัน นั่นคือการนอนหลับ
ขณะจิตที่กำลังจะง่วงหลับนั้น
สภาวะจิตก็จะมีความเคลิ้ม เบลอ ซึ่งหากผู้สะกดจิต ได้ใช้กระแสเสียง
ที่มีมีพลัง ก็ย่อมสามารถสะกดให้จิตใต้สำนึก
นั้น ให้เกิดการเชื่อฟังผู้สะกดได้ ซึ่งโดยหลักการแพทย์ จิตแพทย์มักจะเอาไว้ช่วย
ผู้ป่วยทางจิตขั้นรุนแรง จิตประสบความเสียหายขั้นรุนแรง
เพื่อช่วยให้ลืมเรื่องราวเลวร้ายฝังใจในวัยเด็ก
อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างค่ะ ส่วนการเพ่งลูกแก้วใส ใส
ก็จะได้ผลเช่นเดียวกันนั่นเอง คือเคลิ้มๆ ล่องลอย
และ จะหลับเสีย เป็นส่วนมาก
ตามที่มีข่าวว่าสำนักที่เพ่งลูกแก้วสัปหงกกันหมดนั่นแหละ
ส่วนตอนนั้น ใครมาพูด ใครจะมาให้บริจาค
ให้เชื่ออะไรก็ไปกับเขาหมดค่ะ ไม่มีสติ เหลือแม้น้อยนิด
ดังนั้น หากจิตนี้แลไม่มีกายเป็นฐาน เป็นสัมปชัญญะ
แล้วก้อจะค่อนข้างอันตรายค่ะ
ต่อไปขออธิบายหลักการดูจิต ในศานาพุทธเป็นอันดับถัดมาค่ะ
ศาสนาพทธนั้นเราไม่เคยสอนให้ใช้ความคิดในการดูความเป็นกลาง
แต่การดูจิตนั้น เราจะให้อยู่กับ ฐาน
คือ อยู่กับ "ฐานกาย" เสียก่อน และใช้สะสมกำลัง
จนจิตมีกำลังมาก จึงให้นำกำลังนั้นมาใช้ "ดูจิต"
พวกที่ "ดูจิตไม่ถึงฐาน"
ก็คือพวกมีกำลังแปบๆ ตั้งมั่นได้ไม่นาน ก็เอาไปใช้ดูจิตเลย
ก็จะดูสภาวะไม่ชัดเจน ตามระเบียบ
เห็นหางสภาวะบ้าง เห็นกลางสภาวะบ้าง
แปบๆ ไม่นาน กำลังก็หมด จิตก็เข้าสู่สภาวะเดิม
เพิ่มความงุนงงให้จิตเสียเปล่าๆ
ยิ่งตอนที่จิตมีเริ่มมีกำลังขึ้นมานั้น
เราจะยังมองไม่ชัด เพราะจิตยังไม่ได้ตั้งมั่น
เรียกว่าเมาหมัดก็ไม่ผิดนัก
พอจิตมันฟุ้งซ่านตลอด
แล้วมันเริ่มสงบ กำลังก็มีกระตึ๋่งนึง
แล้วเอาไปดูนะ มันก็ลอยไปเกาะความสว่าง
ความว่างๆ แล้วก็เสพอารมณ์นั้น
เรียกว่า นั่นคือการติดวิปัสสนูกิเลส ชนิดหนึ่ง(ทั้งหมดมี 10 แบบ)
ซึ่งก็จะสังเกตุได้ยากมากหากดูจิตไม่เป็น
และการมีกำลังไม่ตั้งมั่นและต่อเนื่องนั้น
สามารถติดวิปัสสนูได้ยาวหลายสิบปีได้เลย
ก็เป็นเพราะ เขาขาดการฝึก ฐานกายเป็นพื้น แล้วค่อยดูจิตค่ะ
ส่วนคนที่ดูจิตได้เลย ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
นั่นเป็นเพราะว่าของเก่าเขาดี
เขาเคยฝึกฐานกายเป็นพื้นเก่าก่อน ในอดีตชาติ
ดังนั้น สมาธิของพระพุทธองค์นั้น
ต้องใช้กายเป็นฐานจนตั้งมั่น แล้วจึงค่อยๆดูจิต
ข้้นตอนที่จิตเจริญปัญญานั้น
ไม่สามารถอาศัยความคิดมาใข้ได้เลย
ถ้ามีความคิดมากำกับเมื่อไหร่ก็ไม่ใช่การดูจิต เจริญวิปัสสนา
ส่วนการสะกดจิตนั้น ไม่มีฐานกาย
และเป็นอุบายพื้นๆหลอกให้จิตมีความสงบ
และมีสภาวะลอยเคลิ้มๆ เหมือนควัณธูป
จิตที่ไม่มีฐาน ไม่มีกำลังจะสะกด
กำกับใส่ความคิดผู้สะกดลงไปอย่างไรก็ได้
เพราะไม่มีอะไรมาป้องกัน
สรุปว่าสะกดจิตกับดูจิตนั้นเป็นคนละแบบแน่ๆ
แค่หลักการก็ไม่เหมือนกันแล้วค่ะ
บทความโดยดอกหญ้าในป่าหนาว
อ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่ <<Click
>>สารบัญดอกหญ้าในป่าหนาว :D
อ่านบทความอื่นๆ ./Channel on fb :DokyaInCoolWood
เราไม่ต้องพยายามลืมอะไรหรอก เรื่องของคนที่ไม่ดี
ดูอย่างไร ว่านี่ คู่แท้ ไม่ใช่คู่เวร ความรู้สึกด้านดีระยะแรกพบ แปลว่าเขาคือคนที่ใช่ ใช่หรือไม่
เค้าคือคนที่ใช่ เค้าใจดี มีเสนห์ profieดี ชวนพาฝัน นั่นคือสัญญาณของกับดัก
ถ้าพร้อมจะเจ็บ แปลว่าคุณพร้อมจะมีความรักครั้งใหม่ที่ถูกทางแล้ว
จะทำยังไงกับคนปากเสีย !!
กิ๊ก ชู้ ศีลข้อ3 ผิดศีล
เจ้าชู้ หล่อ ดูดี รักจริง จริงใจ อกหัก ทำยังไงดี อยากหาย อยากดีขึ้นอยากเลิกคิดถึง ตัดใจ หยุดคิดถึง คิดถึง นอกใจ แฟนนอกใจ สามีนอกใจ แค้น รักแท้ จริงใจ
คู่บูญ คู่เวร คู่กรรม คู่ทรมาณ คนรัก เวร กรรม
กรรมสนอง pantip ดอกหญ้าในป่าหนาว
เกลียดพ่อ เกลียดแม่ พ่อแม่รังแกฉัน toxic parent ปรับตัว http://dokyaincoolwood.blogspot.com/
yaincoolwood.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น